จับประเด็นข่าวเด่น

บทสัมภาษณ์คุณจีรกิตติ ตังคธัช นายกสมาคมผู้ประกอบการเจียระไนเพชร

ฝีมือการเจียระไนเพชรของไทยเป็นที่เลื่องลือและยอมรับในตลาดโลก เป็นอุตสาหกรรมที่สร้างงานและสร้างรายได้เข้าประเทศแต่ละปีไม่น้อย แต่ในช่วง 2-3 ปีมานี้ไทยส่งออกเพชรเจียระไนไปตลาดโลกลดลงมาโดยตลอด ซึ่งจะเป็นเพราะสาเหตุใดและปีนี้จะมีแนวโน้มอย่างไร ศูนย์ข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับได้มีโอกาสสัมภาษณ์คุณจีรกิตติ ตังคธัช นายกสมาคมผู้ประกอบการเจียระไนเพชร ผู้อ่านสามารถติดตามได้จากบทสัมภาษณ์ข้างล่างนี้

บทบาทที่กำลังพัฒนาของ RCEP นัยยะต่ออนาคตของธุรกิจอัญมณีและเครื่องประดับไทย

ภายหลังจากที่สหรัฐอเมริกาได้ประกาศถอนตัวจากข้อตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก (Trans-Pacific Strategic Economic Partnership Agreement) หรือ TPP ได้ทำให้สถานะของกลุ่มเกิดความสั่นคลอน เพราะการไม่มีสหรัฐอเมริกาก็ทำให้ TPP เหมือนขาดหัวเรือใหญ่ในการขับเคลื่อนบทบาทของกลุ่ม จนนานาประเทศต่างหันมาจับตาดูการพัฒนาบทบาททางเศรษฐกิจของกลุ่มความตกลงพันธมิตรทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership หรือ RCEP) ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มของประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเพื่อมุ่งสู่การเป็นตลาดเสรีขนาดใหญ่และเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจสำคัญของโลก สมาชิกของกลุ่ม RCEP ประกอบด้วยประเทศในภูมิภาคอาเซียน และประเทศคู่เจรจาอีก 6 ประเทศ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ โดยสมาชิกของ RCEP บางประเทศ อาทิ สิงคโปร์ มาเลเซีย เวียดนาม บรูไน ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์และออสเตรเลีย ต่างก็เคยเป็นสมาชิกของ TPP ด้วย แต่จากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ทำให้ประเทศเหล่านี้หันมาเร่งกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างกันภายในกลุ่ม RCEP มากยิ่งขึ้น เพราะมองว่าการค้ากับสหรัฐฯ มีความซับซ้อนและยากลำบากมากยิ่งขึ้น การส่งเสริมความร่วมมือใน RCEP น่าจะเกิดเป็นลู่ทางการค้าที่สะดวก ผ่อนคลายและเป็นเกราะคุ้มกันที่ดีมากกว่าการหวังพึ่งพาสหรัฐฯ

SMEs ไทยพร้อมหรือยังกับโอกาสการค้าออนไลน์

"หลังจากมีกระแสว่าอาลีบาบาจะทิ้งฐานการกระจายสินค้าที่ไทยแล้วหันไปเลือกมาเลเซียเป็นศูนย์กลางแทน ปัจจุบันก็ได้ข้อสรุปแล้วว่ามาเลเซียจะเป็นอีคอมเมิร์สทรานส์ฟอร์ม ขณะที่ไทยจะยังคงเป็นอีคอมเมิร์สฮับซึ่งมีมูลค่าการลงทุนที่ใหญ่กว่ามาเลเซียหลายเท่าตัว"

ผลกระทบอัญมณีและเครื่องประดับไทยหลังถูกสหรัฐฯ ตรวจสอบ ฐานทำให้ขาดดุลการค้า

เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2560 ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ได้ลงนามคำสั่งประธานาธิบดี 2 ฉบับ เพื่อตรวจสอบประเทศที่ทำให้สหรัฐอเมริกาขาดดุลการค้าจำนวน 16 ประเทศซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย โดยคำสั่งในฉบับแรกกำหนดให้กระทรวพาณิชย์และสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา ตรวจสอบประเทศที่สหรัฐอเมริกากำลังขาดดุลการค้า 16 ประเทศเป็นรายประเทศ ซึ่งประกอบด้วยจีน ญี่ปุ่น เยอรมนี เม็กซิโก ไอร์แลนด์ เวียดนาม อิตาลี เกาหลีใต้ มาเลเซีย อินเดีย ไทย ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ ไต้หวัน อินโดนีเซีย และแคนาดา ตามลำดับ เพื่อจำแนกสาเหตุการขาดดุลการค้าว่าปกติหรือละเมิดกฏเกณฑ์ทางการค้าหรือไม่ และจะต้องได้ข้อสรุปภายใน 90 วัน ส่วนคำสั่งในฉบับที่ 2 เป็นการให้อำนาจหน้าที่ของสำนักงานเพื่อการคุ้มครองพรมแดนและศุลกากรของสหรัฐอเมริกาในการประเมิน ดำเนินมาตรการลงโทษทางการเงินต่อสินค้าที่ส่งเข้าสหรัฐฯ ด้วยพฤติกรรมการค้าผิดปกติและไม่เป็นธรรม หรือการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเพื่อตอบโต้การกระทำที่เข้าข่ายการทุ่มตลาด

มาตรฐานการประทับตราทองคำฉบับปรับปรุงใหม่ของอินเดีย

ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2017 เป็นต้นไป อินเดียได้กำหนดให้เครื่องประดับทองที่ระดับความบริสุทธิ์ต่างๆ โดยเฉพาะทองคำ 14K, 18K และ 22K จะต้องได้รับการประทับตราตามมาตรฐานของ Bureau of Indian Standards (BIS)

โอกาสของเครื่องประดับไทยภายหลังสหรัฐฯ ยกเลิก TPP

ภายหลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ เข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐอเมริกา ท่ามกลางการจับตามองของประชาคมโลกเกี่ยวกับนโยบายในการบริหารประเทศของประธานาธิบดีคนใหม่ ล่าสุดเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2560 ได้มีการลงนามในคำสั่งของฝ่ายบริหาร (Executive Order) ประกาศให้สหรัฐฯ ถอนตัวออกจากข้อตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก (Trans-Pacific Strategic economic Partnership Agreement) หรือ TPP ซึ่งประกอบไปด้วยประเทศสมาชิกจำนวน 12 ประเทศ ภายใต้ความร่วมมือในการเสริมสร้างเศรษฐกิจให้แข็งแกร่ง มีการลดภาษีศุลกากรและบังคับใช้มาตรฐานด้านแรงงาน สิ่งแวดล้อมและกฎหมายปกป้องสิทธิบัตรร่วมกัน โดยนายโดนัลด์ ทรัมป์ มองว่า TPP ส่งผลเสียต่อสหรัฐฯ ในส่วนของภาคการผลิตในประเทศ และการจ้างงาน ดังนั้น การถอนตัวจาก TPP จะเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนนโยบาย American First ผลักดันให้มีการสร้างงานแก่คนอเมริกัน อันจะส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีรากฐานในการเติบโตได้อย่างมั่นคงยิ่งขึ้น

สร้างโอกาสการค้าออนไลน์ไปกับอาลีบาบา

หลังจากรัฐบาลมีนโยบายชัดเจนในการผลักดันการพัฒนาเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) ยักษ์ใหญ่ของธุรกิจอีคอมเมิร์สอย่างอาลีบาบาจึงสนใจที่จะเข้ามาลงทุนเพื่อใช้ไทยเป็นศูนย์กลางธุรกิจอีคอมเมิร์สเพื่อกระจายสินค้าไปยังกลุ่มประเทศ CLMV โดยมองว่าธุรกิจนี้สามารถเติบโตไปได้อีกมาก สอดคล้องกับแหล่งข่าวจากการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ที่เปิดเผยว่าอาลีบาบากรุ๊ปได้ส่งรองประธานบริษัทเข้ามาพบกับ กนอ. เพื่อขอให้ช่วยหาพื้นที่ในการก่อสร้างแวร์เฮาส์สำหรับสร้างเป็น Logistic park ซึ่งมีขนาดถึง 5 หมื่นตารางเมตร คิดเป็นเกือบ 3 เท่าของสนามราชมังคลากีฬาสถาน โดยอาลีบาบากรุ๊ปต้องการพื้นที่สร้างแวร์เฮ้าส์ที่ติดกับท่าอากาศยาน เบื้องต้นได้เข้าไปดูพื้นที่ไว้ 2 แห่ง ซึ่งไม่ไกลจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยหนึ่งในนั้นคือที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ซึ่งนอกจากจะทำให้ราคาที่ดินแถบนั้นขยับขึ้นแล้ว ยังคาดว่าจะก่อให้เกิดการจ้างงานอีกกว่า 10,000 ตำแหน่งอีกด้วย

สถานการณ์ตลาดทองคำของไทยในปี 2560

ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจและการเมืองทำให้การถือครองทองคำนับว่าเป็น Safe Haven ของนักลงทุน ด้วยพฤติกรรมของผู้บริโภคทองคำที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากจากการซื้อทองคำรูปพรรณเพื่อสวมใส่ มาเป็นการสะสมความมั่งคั่งจากทองคำแท่ง รวมทั้งเปลี่ยนจากการสะสมทองคำเพื่อการออมมาเป็นการเก็งกำไร และช่วงต้นปีคำถามที่ถือว่าเป็นธรรมเนียม คือ สถานการณ์ทองคำในปี 2560 จะเป็นอย่างไร ทางศูนย์ข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับได้รับเกียรติสัมภาษณ์คุณณัฐพงศ์ หิรัณยศิริ กรรมการผู้จัดการบริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ ฟิวเจอร์ จำกัด ถึงสถานการณ์ของตลาดทองคำในปี 2560 ว่าปีระกานี้จะเป็นปี "ไก่ทอง" หรือไม่ ติดตามได้จากบทสัมภาษณ์ "สถานการณ์ตลาดทองคำของไทยในปี 2560"

ครม.มีมติยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ 32 รายการ

เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2560 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการสนับสนุนให้ไทยเป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีและเครื่องประดับของโลก ด้วยการยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับในตอนที่ 71 จำนวน 32 ประเภทย่อย

เราใช้คุกกี้ (Cookies) เพื่อใช้ในการปรับปรุงประสิทธิภาพเว็บไซต์ ท่านสามารถศึกษารายละเอียดการใช้คุกกี้ได้ที่ นโยบายคุกกี้   ตั้งค่า ยอมรับ

×
ชั้น 4 อาคารไอทีเอฟ ทาวเวอร์ เลขที่ 140 ถนนสีลมแขวงสุริยวงศ์ เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร 10500
โทรศัพท์: 0 2634 4999 ต่อ 444
โทรสาร: 0 2634 4970