จับประเด็นข่าวเด่น
ความต้องการบริโภคเครื่องประดับทองในจีนเพิ่มขึ้นจากผู้ซื้อกลุ่มมิลเลนเนียล
ปัจจุบันจีนถือเป็นผู้บริโภคสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับรายใหญ่ หรือคิดเป็นร้อยละ 29 ของความต้องการบริโภคเครื่องประดับทั้งหมดในตลาดโลก โดยจากรายงานของ The China Gold Association พบว่าในภาพรวมผู้บริโภคชาวจีนมีความต้องการบริโภคทองคำแท่ง และเครื่องประดับในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2017 ในปริมาณ 815.9 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 16 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยแบ่งเป็นความต้องการบริโภคทองคำแท่งที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 44.5 ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับกระแสความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลกที่นิยมซื้อทองคำแท่งเพื่อนำมาใช้ประกอบการลงทุนเพิ่มขึ้น ขณะที่ความต้องการบริโภคเครื่องประดับที่ทำจากทองคำก็เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน โดยคิดเป็นร้อยละ 7.44 ซึ่งจากภาพรวมของพฤติกรรมการบริโภคของชาวจีน พบว่าผู้บริโภคในกลุ่มมิลเลนเนียล (Millennials) หรือผู้ที่เกิดในช่วงปี 1980 จนถึงปี 2000 ถือเป็นผู้มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนความต้องการบริโภคทองคำ และเครื่องประดับในประเทศจีนที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นประชากรที่อยู่ในช่วงวัยทำงาน มีกำลังซื้อ มีความคิดก้าวทันตามกระแสโลกและการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี จึงทำให้เปิดรับการค้าผ่านช่องทางออนไลน์ซึ่งกำลังเติบโตและเป็นที่นิยมในจีนได้มากกว่าผู้บริโภครุ่นเก่า
Cartier คว่ำบาตรการซื้ออัญมณีจากเมียนมา
บริษัท Richmont ผู้จัดซื้ออัญมณีให้แก่ Cartier ยุติการซื้ออัญมณีทั้งทับทิม แซปไฟร์ และหยกที่ผลิตจากเหมืองอัญมณีในเมียนมาเมื่อวันที่ 8 ธันวาคมที่ผ่านมา เพื่อคว่ำบาตรการค้าอัญมณีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (Genocide Gems) จากเมียนมา โดยมีสาเหตุมาจากรัฐบาลเมียนมาได้ใช้ความรุนแรงปราบปรามชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมโรฮิงญาจนหลายฝ่ายมองว่าเป็นการล้างเผ่าพันธุ์ และจนปัจจุบันก็ยังไม่ได้มีการแก้ไขปัญหานี้แต่อย่างใด ทั้งนี้ Cartier ได้รับแรงกดดันจากผู้บริโภคกว่า 70,000 คน ซึ่งขับเคลื่อนโดยกลุ่มกิจกรรมที่รณรงค์แคมเปญระดับนานาชาติเพื่อชาวโรฮิงญา (International Campaign for the Rohingya) และคนกลุ่มนี้ยังมีแผนที่จะกดดันแบรนด์เครื่องประดับชั้นนำอย่าง Bulgari ให้ยกเลิกการซื้ออัญมณีจากเมียนมาเป็นรายถัดไปด้วย
Hallmark สำหรับการส่งออกเครื่องประดับทองไปยังตลาดโลกของประเทศอินเดีย
นอกจากการประทับตรารับรองค่าความบริสุทธิ์ของโลหะมีค่า (Hallmark) ลงบนเครื่องประดับทองเพื่อการบริโภคในประเทศอินเดียแล้ว หลังจากเดือนมกราคม 2018 ผู้ส่งออกเครื่องประดับทอง 14K 18K และ 22K ของอินเดียจะต้องประทับเครื่องหมาย Hallmark ลงบนเครื่องประดับเพื่อการส่งออกด้วย โดยตลาดส่งออกเครื่องประดับทองหลักของอินเดีย ได้แก่ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่มีสัดส่วนถึง 30% ฮ่องกง 30% และสหรัฐอเมริกา 23% ขณะที่อิหร่านและตุรกีเป็นเพียง 2 ประเทศในเอเชียตะวันตกที่นำเข้าเครื่องประดับทองทอง 22K จากอินเดีย
ความต้องการทองคำของอินเดียลดลง 25%
ปัจจุบันความต้องการทองคำของชาวอินเดียลดลง 25% เมื่อเทียบกับปี 2559 อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากรัฐบาลอินเดียประกาศนโยบายยกเลิกธนบัตร (Demonetization) ใบละ 500 รูปี และ 1,000 รูปี ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2559 ที่ผ่านมา อีกทั้งนโยบายการเรียกเก็บภาษีสินค้าและบริการ (GST) สำหรับทองคำและเครื่องประดับทอง ในอัตราร้อยละ 3 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2560 ก็เป็นอีกปัจจัยกดดันความต้องการทองคำและเครื่องประดับทองของชาวอินเดียให้ลดลงด้วย เนื่องจากอินเดียเป็นประเทศคู่ค้าสำคัญใน 10 อันดับแรกของไทย ฉะนั้น การดำเนินนโยบายดังกล่าวจึงส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยไปยังอินเดียอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งจากสถิติส่งออกไทยในปี 2560 พบว่า ไทยเริ่มส่งออกทองคำไปยังอินเดียลดลงในไตรมาสที่ 2 และ 3 ถึง 1 เท่าตัว ขณะที่เครื่องประดับทองยังคงขยายตัวได้ในช่วง 9 เดือนแรก หากแต่มูลค่าการส่งออกก็ยังถือว่าน้อยอยู่ โดยมีมูลค่าเพียง 19.96 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นสัดส่วน 7% ของมูลค่าส่งออกไปยังอินเดียโดยรวม
เมียนมาเรียกเก็บภาษีการค้าจากทองคำและเครื่องประดับทอง
รัฐบาลเมียนมาประกาศปรับปรุงระบบจัดเก็บภาษีการค้า (Commercial Tax) ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยเรียกเก็บจากเครื่องประดับทองในอัตราร้อยละ 3 (ปรับลดลงจากอัตราร้อยละ 5) และกำหนดว่าผู้ประกอบการต้องรวมเอาภาษีดังกล่าวแสดงลงในใบกำกับภาษีซึ่งจะต้องมีการประทับตราอากรแสตมป์ลงในเอกสารให้แก่ผู้ซื้อด้วย รวมทั้งผู้ประกอบการจะต้องนำส่งภาษีและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการค้าทั้งหมดต่อทางภาครัฐ ซึ่งจะส่งผลให้รัฐบาลสามารถเรียกเก็บภาษีจากผู้ประกอบการได้ทั้งภาษีเงินได้ (Income Tax) และภาษีการค้า (Commercial Tax)
อินเดียเรียกเก็บภาษี GST ทองคำและเครื่องประดับทอง
การปฏิรูปภาษีในอินเดียได้เปลี่ยนแปลงแนวทางการซื้อขายและการเรียกเก็บเงินในร้านทองและร้านเครื่องประดับชั้นนำทั่วประเทศ โดยการเรียกเก็บภาษีสินค้าและบริการ (GST) ของอินเดีย ตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา เป็นการใช้ระบบเดียวครอบคลุมทั้งหมดแทนการเก็บภาษีระดับประเทศและระดับท้องถิ่นที่มีความซับซ้อน
เปิดมุมมองช่างเงินบ้านกาดจากภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่ความร่วมสมัย
ประเทศไทยถือเป็นแหล่งผลิตเครื่องเงินที่มีฐานการผลิตกระจายอยู่ในพื้นที่หลายจังหวัด แต่สำหรับการผลิตเครื่องประดับเงินของตำบลแม่วาง อำเภอบ้านกาด จังหวัดเชียงใหม่ พบว่าชิ้นงานมีรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์และมีความโดดเด่นแตกต่างไปจากพื้นที่อื่นถือเป็นสินค้าหัตถศิลป์ที่ควรค่าแก่การส่งเสริม ในครั้งนี้ทางศูนย์ข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับได้มีโอกาสสัมภาษณ์ คุณอัญชลี อุปนันท์ ครูช่างเงินแห่งบ้านกาด และ คุณอังคาร อุปนันท์ ทายาทช่างเงินผู้สืบสานและพัฒนาภูมิปัญญาสู่ความร่วมสมัยและเป็นสากลยิ่งขึ้น ขอเชิญท่านผู้อ่านร่วมทำความรู้จักกับเครื่องประดับเงินแบบยัดลายได้จากบทสัมภาษณ์
ผลกระทบจากการปรับใช้ GST ต่อภาคการค้าอัญมณีและเครื่องประดับอินเดีย
เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา ทางรัฐบาลอินเดียได้ปฏิรูประบบภาษีครั้งใหญ่เท่าที่เคยมีมาภายในประเทศ โดยรัฐบาลได้ประกาศใช้กฎหมายภาษีฉบับใหม่ คือ ระบบภาษีสินค้าและบริการ หรือที่เรียกว่าระบบ GST ขึ้นแทนการใช้ระบบภาษีอื่นๆ ที่เคยปฏิบัติมา โดยวัตถุประสงค์หลักของการปฏิรูปในครั้งนี้ นอกจากต้องการให้เกิดเป็นตลาดเดียวทั่วประเทศแล้ว รัฐบาลยังมุ่งหวังให้เกิดแรงกระตุ้นทางเศรษฐกิจ เนื่องจากการใช้ระบบ GST จะมีส่วนช่วยในการลดต้นทุนการผลิตให้กับภาคอุตสาหกรรม และลดการจัดเก็บภาษีซ้ำซ้อน ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องให้การบริโภคเพิ่มมากขึ้น อันจะเป็นปัจจัยเกื้อหนุนให้เศรษฐกิจเติบโตได้ดีขึ้นตามไปด้วย
วิกฤติการณ์ในกาตาร์กับการส่งออกสินค้าเครื่องประดับไทย
จากการที่กลุ่มประเทศความร่วมมืออ่าวอาหรับ (Gulf Cooperation Council หรือ GCC) ซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 6 ประเทศ ได้แก่ ซาอุดิอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โอมาน บาห์เรน คูเวต และกาตาร์ รวมถึงประเทศพันธมิตรใกล้เคียง อาทิ อียิปต์ ลิเบียและเยเมน ได้มีการหยิบยกประเด็นกล่าวอ้างว่ากาตาร์ซึ่งถือเป็นหนึ่งในประเทศสมาชิกของกลุ่มนั้น มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเป็นผู้สนับสนุนกลุ่มก่อการร้าย และเป็นผู้ที่แสดงจุดยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับอิหร่านมาโดยตลอด ซึ่งจากเหตุผลดังกล่าวได้ถูกนำมาใช้เป็นเหตุในการประกาศตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับกาตาร์ พร้อมทั้งตัดการขนส่งทางอากาศ ทะเลและถนน ได้ทำให้นานาประเทศต่าง หันมาจับตาดูสถานการณ์นี้เป็นอันมาก เนื่องจากกาตาร์แม้จะเป็นเพียงประเทศขนาดเล็กที่นอกจากจะมั่งคั่งไปด้วยน้ำมันและก๊าซธรรมชาติแล้ว ยังถือว่าเป็นประเทศที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจทั้งในด้านการนำเข้าและส่งออก
สถานการณ์การค้าทองรูปพรรณไทยหลังการเปิดเสรีทางการค้า
ด้วยความนิยมทองรูปพรรณของคนไทยที่มีมาแต่อดีตจวบจนปัจจุบันเพื่อสวมใส่และเป็นการสะสมความมั่งคั่ง โดยคนทั่วไปนิยมเรียกว่า "ทองตู้แดง" ที่มีค่าความบริสุทธิ์ของเนื้อทอง 96.5% (23.16K) ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของไทยแตกต่างจากประเทศอื่นๆ ในโลก แม้ว่าคนยุคใหม่ที่มีฐานะทางการเงินจะเปลี่ยนพฤติกรรมจากการซื้อทองรูปพรรณมาเป็นการสะสมทองคำแท่ง เพื่อการออมเงินและเป็นการเก็งกำไรแทน แต่สำหรับผู้บริโภครุ่นเดิมหรือในต่างจังหวัดนั้นยังคงซื้อทองรูปพรรณสะสมแทนการถือเงินสด เพื่อความคล่องตัวในการซื้อขาย ในครั้งนี้ทางศูนย์ข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับได้รับเกียรติสัมภาษณ์คุณพิชญา พิสุทธิกุล อุปนายกสมาคมค้าทองคำ และประธานบริษัท เลี่ยงเส็งเฮงพาณิชย์ จำกัด ร้านทองเก่าแก่บนถนนพาหุรัด ซึ่งเป็นผู้คร่ำหวอดในวงการค้าทองรูปพรรณมายาวนานหลายทศวรรษ ถึงสถานการณ์การค้าทองรูปพรรณภายในประเทศ โดยติดตามได้จากบทสัมภาษณ์ดังต่อไปนี้
จับตาการประชุมเจรจาเพื่อจัดทำ FTA ระหว่างไทยกับปากีสถาน
การประชุมเจรจาความตกลงการค้าเสรีไทย-ปากีสถาน หรือ FTA มีความคืบหน้าไปอีกขั้น จากการประชุมล่าสุดครั้งที่ 7 ระหว่างวันที่ 17 ถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 2560 ณ กรุงเทพมหานคร โดยมีวัตถุประสงค์หลักในการประชุมเพื่อหารือถึงแนวทางในการส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การแก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้า รูปแบบการลดภาษี (modality) และกฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้า รวมถึงการเร่งหาข้อสรุปรายการสินค้าที่ต้องการให้มีการเปิดตลาดระหว่างกัน ซึ่งผลจากการประชุมในครั้งนี้ทั้งสองฝ่ายเห็นควรเร่งสรุปผลการจัดทำ FTA ระหว่างไทยกับปากีสถานให้ได้ภายในปีนี้ตามที่ตั้งเป้าเอาไว้ เพราะการจัดทำ FTA ระหว่างกันนอกจากจะเป็นการกระชับความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองประเทศแล้ว ยังเป็นผลประโยชน์ต่อทางด้านเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศด้วย
การเลือกตั้งของฝรั่งเศส: นัยยะต่อการค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทย
ผลการเลือกตั้งฝรั่งเศสรอบชี้ขาดอย่างเป็นทางการประกาศออกมาแล้วว่านายเอ็มมานูเอล มาครง ผู้สมัครฝ่ายเสรีนิยมสายกลางเป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง แม้ว่าจำนวนผู้ที่มาใช้สิทธิเลือกตั้งในครั้งนี้จะต่ำที่สุดในรอบครึ่งศตวรรษก็ตาม โดยผลการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการลดโอกาสที่ฝรั่งเศสจะออกจากการเป็นสมาชิกของกลุ่มสหภาพยุโรป (Frexit) ทำให้บรรยากาสการค้าโลกผ่อนคลายยิ่งขึ้น